สอนประวัติศาสตร์อย่างไร
ไม่ให้น่าเบื่อ
ในการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ หากถามนักเรียนหลาย
ๆ หลายคน มักจะบอกว่าเป็นวิชาท่องจำ ต้องอ่านมาก ต้องจำมากทำให้น่าเบื่อหน่าย
ไม่เห็นสนุกเลย ตอนที่ผู้เขียนเป็นหัวหน้าหมวดสังคมศึกษา
มีลูกน้องหมวดบางคน กล่าวว่า อย่าให้สอนประวัติศาสตร์เลยหัวหน้า
เพราะเด็กจะเบื่อง่าย ง่วงง่ายไม่อยากสอน
ก็พยายามนิเทศแนะนำเขา
เพราะเท่าที่ผู้เขียนสอนวิชาประวัติศาสตร์มานับสิบปีนักเรียนส่วนใหญ่ก็ชอบและตั้งใจเรียนดี เพราะ เราไม่ได้สอนแบบท่องจำ หรือบังคับให้นักเรียนนั่งอ่านหนังสือ
ขอเรียนย้ำว่า อย่าท่องจำและอย่าออกข้อสอบเป็นตัวเลขโดยเด็ดขาด
แต่ให้นักเรียนเข้าใจสาเหตุ ปัจจัย กระบวนการ และจุดเด่น ของแต่ละยุคสมัยของประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์อาจจะมีเงื่อนไขของมิติเวลา
เป็นกรอบระยะเหตุการณ์ที่ศึกษา หากนักเรียนเข้าใจ สิ่งเหล่านั้น ( พ.ศ.)
ก็จะจำโดยอัตโนมัติ
ขั้นตอนการเตรียมการสอน
สิ่งแรกที่นักเรียนควรรู้
คือเราควรให้นักเรียนรู้จักตนเองก่อนแล้วค่อย ๆ ขยายไปสู่การรู้จักจังหวัด
ประเทศ เพื่อนบ้านตามลำดับ ซึ่งการสอนต้องกระทำดังนี้
1.การเขียนแผนการสอนที่กระชับชัดเจน ไม่ยืดเยื้อ 1 แผน ต่อ 1 หัวข้อ เน้นการวิเคราะห์ปฏิบัติ ด้วย
ตัวเอง แล้วใช้งานกลุ่มในการสอนในลำดับต่อไป
2.ให้นักเรียนเข้าใจวิธีการประวัติศาสตร์ ด้วยการศึกษาง่าย ๆ เช่น
ค้นหาบรรพบุรุษของตนในสามชั่วคน ให้งานกลุ่มค้นคว้าประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
จากนั้น สรุปร่วมกันว่าว่า เราเรียนประวัติศาสตร์เพื่ออะไรทำให้นักเรียนเข้าใจด้วยการปฏิบัติด้วยตนเอง
3.บูรณาการวิชาวาดเขียน เรียงความ
การเล่าเรื่องตำนาน ประกอบการสอนประวัติศาสตร์ มาใช้ในการสอน เช่น
นำไปวาดรูปโบราณสถานในท้องถิ่น นำภูมิปัญญาท้องถิ่น
มาเล่านิทานตำนาน มุขปาฐะให้นักเรียนฟัง
4.นำนักเรียนทัศนศึกษาในสถานที่ใกล้ ๆ โรงเรียน
หรือแหล่งโบราณคดีในท้องถิ่น แล้วสรุปเป็นรายงาน บทความ
รวมทั้งจัดนิทรรศการในชั้นเรียน
5.จัดการแสดงละครประวัติศาสตร์ หรือละครพื้นบ้านท้องถิ่น
ในกิจกรรมวันสำคัญต่างของโรงเรียน
เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้ในขั้นสูงจดจำและเข้าใจได้ง่าย
6.การวัดผล ไม่ควรออกข้อสอบเป็น พ.ศ.เป็นตัวเลข ความจำ
แต่ให้นักเรียนเข้าใจว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหนอย่างไร
ทำไมถึงทำอย่างนั้น เป็นข้อเขียน
ผสมเลือกตอบ สำหรับระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และให้เขียนตอบสำหรับระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
ในช่วงที่ผู้เขียนสอนอยูในโรงเรียนกู่แก้ววิทยา จังหวัดอุดรธานี
นั้น การสอนรายวิชาประวัติศาสตร์ในขั้นแรก ผู้เขียนจะให้นักเรียน สืบค้น
บรรพบุรุษของตนว่ามาจากไหน เพื่ออธิบายสาแหรกของการอพยพของคนอุดรธานี ในยุคแรก
ในสมัยรัชกาลที่ 1 และ การอพยพในช่วงสมัยจอมพลสฤษดิ์
ซึ่งมีการทำไร่อ้อยอย่างกว้างขวาง
บรรพบุรุษของนักเรียนส่วนใหญ่มาจากตอนกลางของอีสาน ส่วนกลุ่มบุคคลที่ตั้งถิ่นฐานอยู่โดยรอบหนองหานกุมภวาปี
มาจากเวียงจันทร์ในสมัยรัชกาลที่ 1 และ 2 เมื่อนักเรียนได้คำตอบแล้วก็จะนำมาอธิบายวิธีการทางประวัติศาสตร์ ว่าสิ่งที่นักเรียนค้นคว้าสอดคล้องกันอย่างไร
เมื่อจบเรื่องวิธีการทางประวัติศาสตร์แล้วก็เข้าสู่การเรียนการสอนเรื่องการแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์
บังเอิญว่า โรงเรียนผู้เขียนนั้นอยู่ใกล้กับ แหล่งโบราณคดี
ทั้งยุคก่อนประวัติศาสตร์ และยุคประวัติศาสตร์
ยุคก่อนประวัติศาสตร์
1.บ้านเชียง บ้านนาดี บ้านพังซ่อน บ้านคอนสาย
อำเภอหนองหานและอำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี
ยุคประวัติศาสตร์
2.บ้านดอนแก้ว อำเภอกุมภวาปี เมืองหนองหาน
วัดกู่แก้วรัตนาราม อำเภอหนองหาน
การเรียนการสอนยุคก่อนประวัติศาสตร์ นำนักเรียนไปทัศนศึกษาบ้านเชียง
ซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนประมาณ 28 กิโลเมตร
นักเรียนสามารถเรียนรู้และเข้าใจได้เป็นอย่างดีโดยมีผู้ให้ความรู้ที่เชี่ยวชาญเป็นวิทยากร
การเรียนการสอนในยุคประวัติศาสตร์ ได้แก่
คูเมืองหนองหาน สมัยขอม ศิลาจารึกสมัย
ทวารวดี
ที่ดอนแก้ว กุมภวาปี ก่อนนำนักเรียนไปทัศนศึกษา ครูต้องมีใบความรู้
และประเมินผลก่อนเรียนเสมอ
แหล่งโบราณคดีที่อยู่ใกล้โรงเรียน 100 เมตร
คือ วัดกู่แก้วรัตนาราม เป็น
อโรคยาศาล สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งมีร่องรอย
ปราสาทศิลาแลงและทับหลังเทพแห่งการแพทย์ เป็นศิลปะขอมสมัยบายน หรือไทยเรียกว่า
ศิลปลพบุรี มีร่องรอยของศิลปะล้านช้างยุคหลัง เป็นพระพุทธรูปไม้เจดีย์เก่า มีโบสถ์
และศาลาการเปรียญที่สร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ สามารถใช้เป็นสื่อในการสอนประวัติศาสตร์ท้องถิ่นได้สามยุคคือ
1.อีสานยุคอาณาจักรขอม
2.อีสานในยุคอาณาจักรล้านช้าง
3.อีสานในยุครัตนโกสินทร์
ในขั้นแรกผู้เขียนจะให้นักเรียนไปวาดภาพ ในวัดก่อน
ว่าประทับใจจุดไหน จากนั้นให้นักเรียนค้นคว้า
ตำนานโบราณของท้องถิ่นที่เกี่ยวกับสถานที่นี้มาเล่าให้เพื่อนฟัง
เมื่อนักเรียนเสนองานแล้ว จึงแจกใบความรู้แก่นักเรียน
แล้วแบ่งกลุ่มศึกษาเพิ่มเติมทั้ง 3 ยุค รวมกันเป็น
ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอย่างย่อ
การเรียนการสอนโดยให้นักเรียนได้ปฏิบัติสืบค้นด้วยตนเองเป็นหัวใจของการศึกษาประวัติศาสตร์
อย่างแท้จริง อย่างไรก็ดี เทคนิคการเล่าเรื่อง คำพูดของครูที่เน้น ตั้งคำถามให้นักเรียนสงสัย ช่วยกระตุ้นให้นักเรียน
มีแรงพลังในการศึกษามากขึ้น
การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่ใกล้ตัวก่อน จะทำให้นักเรียนสนใจมากกว่าสิ่งที่ไกลตัว
นักเรียนสามารถเข้าใจวิธีการประวัติศาสตร์ได้ง่ายและไม่น่าเบื่อหน่าย
(บล๊อคที่สร้างนี้เกิดจากการศึกษาอบรมเรื่องการทำบล๊อคขอมูลทั้งหมดมาจากอินเตอร์เน็ตคะ)