วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2557

สอนประวัติศาสตร์อย่างไร ไม่ให้น่าเบื่อ

          สอนประวัติศาสตร์อย่างไร ไม่ให้น่าเบื่อ
 ในการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์  หากถามนักเรียนหลาย ๆ หลายคน มักจะบอกว่าเป็นวิชาท่องจำ ต้องอ่านมาก ต้องจำมากทำให้น่าเบื่อหน่าย ไม่เห็นสนุกเลย  ตอนที่ผู้เขียนเป็นหัวหน้าหมวดสังคมศึกษา  มีลูกน้องหมวดบางคน กล่าวว่า อย่าให้สอนประวัติศาสตร์เลยหัวหน้า เพราะเด็กจะเบื่อง่าย  ง่วงง่ายไม่อยากสอน  ก็พยายามนิเทศแนะนำเขา เพราะเท่าที่ผู้เขียนสอนวิชาประวัติศาสตร์มานับสิบปีนักเรียนส่วนใหญ่ก็ชอบและตั้งใจเรียนดี เพราะ เราไม่ได้สอนแบบท่องจำ หรือบังคับให้นักเรียนนั่งอ่านหนังสือ ขอเรียนย้ำว่า อย่าท่องจำและอย่าออกข้อสอบเป็นตัวเลขโดยเด็ดขาด แต่ให้นักเรียนเข้าใจสาเหตุ ปัจจัย กระบวนการ และจุดเด่น ของแต่ละยุคสมัยของประวัติศาสตร์

         ประวัติศาสตร์อาจจะมีเงื่อนไขของมิติเวลา เป็นกรอบระยะเหตุการณ์ที่ศึกษา หากนักเรียนเข้าใจ สิ่งเหล่านั้น ( พ.ศ.) ก็จะจำโดยอัตโนมัติ
            ขั้นตอนการเตรียมการสอน
     สิ่งแรกที่นักเรียนควรรู้ คือเราควรให้นักเรียนรู้จักตนเองก่อนแล้วค่อย ๆ ขยายไปสู่การรู้จักจังหวัด  ประเทศ เพื่อนบ้านตามลำดับ ซึ่งการสอนต้องกระทำดังนี้
             1.การเขียนแผนการสอนที่กระชับชัดเจน ไม่ยืดเยื้อ แผน ต่อ 1 หัวข้อ เน้นการวิเคราะห์ปฏิบัติ ด้วย ตัวเอง แล้วใช้งานกลุ่มในการสอนในลำดับต่อไป 
             2.ให้นักเรียนเข้าใจวิธีการประวัติศาสตร์ ด้วยการศึกษาง่าย ๆ เช่น ค้นหาบรรพบุรุษของตนในสามชั่วคน   ให้งานกลุ่มค้นคว้าประวัติศาสตร์ท้องถิ่น จากนั้น สรุปร่วมกันว่าว่า เราเรียนประวัติศาสตร์เพื่ออะไรทำให้นักเรียนเข้าใจด้วยการปฏิบัติด้วยตนเอง
             3.บูรณาการวิชาวาดเขียน  เรียงความ  การเล่าเรื่องตำนาน ประกอบการสอนประวัติศาสตร์ มาใช้ในการสอน เช่น นำไปวาดรูปโบราณสถานในท้องถิ่น  นำภูมิปัญญาท้องถิ่น มาเล่านิทานตำนาน มุขปาฐะให้นักเรียนฟัง
              4.นำนักเรียนทัศนศึกษาในสถานที่ใกล้ ๆ โรงเรียน หรือแหล่งโบราณคดีในท้องถิ่น แล้วสรุปเป็นรายงาน บทความ รวมทั้งจัดนิทรรศการในชั้นเรียน
              5.จัดการแสดงละครประวัติศาสตร์ หรือละครพื้นบ้านท้องถิ่น ในกิจกรรมวันสำคัญต่างของโรงเรียน เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้ในขั้นสูงจดจำและเข้าใจได้ง่าย
              6.การวัดผล ไม่ควรออกข้อสอบเป็น พ.ศ.เป็นตัวเลข ความจำ แต่ให้นักเรียนเข้าใจว่า ใคร ทำอะไร  ที่ไหนอย่างไร    ทำไมถึงทำอย่างนั้น  เป็นข้อเขียน ผสมเลือกตอบ สำหรับระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และให้เขียนตอบสำหรับระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
                   ในช่วงที่ผู้เขียนสอนอยูในโรงเรียนกู่แก้ววิทยา จังหวัดอุดรธานี นั้น การสอนรายวิชาประวัติศาสตร์ในขั้นแรก ผู้เขียนจะให้นักเรียน สืบค้น บรรพบุรุษของตนว่ามาจากไหน เพื่ออธิบายสาแหรกของการอพยพของคนอุดรธานี ในยุคแรก ในสมัยรัชกาลที่ 1 และ การอพยพในช่วงสมัยจอมพลสฤษดิ์  ซึ่งมีการทำไร่อ้อยอย่างกว้างขวาง บรรพบุรุษของนักเรียนส่วนใหญ่มาจากตอนกลางของอีสาน  ส่วนกลุ่มบุคคลที่ตั้งถิ่นฐานอยู่โดยรอบหนองหานกุมภวาปี มาจากเวียงจันทร์ในสมัยรัชกาลที่ 1 และ 2  เมื่อนักเรียนได้คำตอบแล้วก็จะนำมาอธิบายวิธีการทางประวัติศาสตร์ ว่าสิ่งที่นักเรียนค้นคว้าสอดคล้องกันอย่างไร
            เมื่อจบเรื่องวิธีการทางประวัติศาสตร์แล้วก็เข้าสู่การเรียนการสอนเรื่องการแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์ บังเอิญว่า โรงเรียนผู้เขียนนั้นอยู่ใกล้กับ แหล่งโบราณคดี ทั้งยุคก่อนประวัติศาสตร์ และยุคประวัติศาสตร์

             ยุคก่อนประวัติศาสตร์
             1.บ้านเชียง บ้านนาดี บ้านพังซ่อน บ้านคอนสาย อำเภอหนองหานและอำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี
            ยุคประวัติศาสตร์
            2.บ้านดอนแก้ว  อำเภอกุมภวาปี  เมืองหนองหาน  วัดกู่แก้วรัตนาราม อำเภอหนองหาน
            การเรียนการสอนยุคก่อนประวัติศาสตร์ นำนักเรียนไปทัศนศึกษาบ้านเชียง ซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนประมาณ  28  กิโลเมตร  นักเรียนสามารถเรียนรู้และเข้าใจได้เป็นอย่างดีโดยมีผู้ให้ความรู้ที่เชี่ยวชาญเป็นวิทยากร
            การเรียนการสอนในยุคประวัติศาสตร์ ได้แก่ คูเมืองหนองหาน สมัยขอม  ศิลาจารึกสมัย
ทวารวดี ที่ดอนแก้ว กุมภวาปี  ก่อนนำนักเรียนไปทัศนศึกษา ครูต้องมีใบความรู้ และประเมินผลก่อนเรียนเสมอ
            แหล่งโบราณคดีที่อยู่ใกล้โรงเรียน 100  เมตร คือ วัดกู่แก้วรัตนาราม เป็น อโรคยาศาล สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่  7 ซึ่งมีร่องรอย ปราสาทศิลาแลงและทับหลังเทพแห่งการแพทย์ เป็นศิลปะขอมสมัยบายน หรือไทยเรียกว่า ศิลปลพบุรี มีร่องรอยของศิลปะล้านช้างยุคหลัง เป็นพระพุทธรูปไม้เจดีย์เก่า มีโบสถ์ และศาลาการเปรียญที่สร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์  สามารถใช้เป็นสื่อในการสอนประวัติศาสตร์ท้องถิ่นได้สามยุคคือ
              1.อีสานยุคอาณาจักรขอม
              2.อีสานในยุคอาณาจักรล้านช้าง
              3.อีสานในยุครัตนโกสินทร์
          ในขั้นแรกผู้เขียนจะให้นักเรียนไปวาดภาพ ในวัดก่อน ว่าประทับใจจุดไหน จากนั้นให้นักเรียนค้นคว้า ตำนานโบราณของท้องถิ่นที่เกี่ยวกับสถานที่นี้มาเล่าให้เพื่อนฟัง เมื่อนักเรียนเสนองานแล้ว จึงแจกใบความรู้แก่นักเรียน แล้วแบ่งกลุ่มศึกษาเพิ่มเติมทั้ง ยุค รวมกันเป็น ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอย่างย่อ
         การเรียนการสอนโดยให้นักเรียนได้ปฏิบัติสืบค้นด้วยตนเองเป็นหัวใจของการศึกษาประวัติศาสตร์ อย่างแท้จริง อย่างไรก็ดี เทคนิคการเล่าเรื่อง คำพูดของครูที่เน้น  ตั้งคำถามให้นักเรียนสงสัย ช่วยกระตุ้นให้นักเรียน มีแรงพลังในการศึกษามากขึ้น
          การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่ใกล้ตัวก่อน จะทำให้นักเรียนสนใจมากกว่าสิ่งที่ไกลตัว นักเรียนสามารถเข้าใจวิธีการประวัติศาสตร์ได้ง่ายและไม่น่าเบื่อหน่าย

 (บล๊อคที่สร้างนี้เกิดจากการศึกษาอบรมเรื่องการทำบล๊อคขอมูลทั้งหมดมาจากอินเตอร์เน็ตคะ)